ในบทความนี้ ผมจะบอกเรื่อง ระหว่าง หุ้น กับ forex อะไรเล่นง่ายและมีโอกาสกำไรมากกว่ากัน และ forex กับ หุ้น คืออะไร ความแตกต่าง ระหว่าง หุ้น กับ Forex ต่างกันอย่างไร อันไหนดีกว่ากัน
รวมไปถึงข้อดีของตลาด Forex และ ตลาดหุ้น อีกทั้งยังมีการแนะนำ 5 ขั้นตอนในการเตรียมพร้อมการเล่นหุ้น Forex ให้อีกด้วยครับ
Forex คืออะไร
Forex (Foreign Exchange) คือ ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ หรือ สกุลเงิน ไม่ใช่ หุ้น
เพราะฉะนั้นจึงไม่ถูกที่จะเรียกว่า “หุ้น Forex” อย่างที่มือใหม่ในตลาดเข้าใจผิด
โดยราคาของสกุลเงินใน Forex มักจะแปรผันตามนโยบายของประเทศสกุลเงินนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย สภาพเศรษฐกิจ และรวมไปถึงสถานการณ์บ้านเมืองด้วย
หุ้น คืออะไร
หุ้น (Stock) เป็นตราสารที่ทางบริษัทที่จดทะเบียนหลักทรัพย์ออกให้แก่ผู้ซื้อหุ้นในกิจการนั้นๆ เพื่อระดมเงินทุนจากการขายหุ้นไปใช้ในการดำเนินกิจการต่างๆในบริษัท
ซึ่งผู้ซื้อหุ้นจะมีฐานะเป็น “หุ้นส่วนเจ้าของกิจการ”ที่สามารถมีโอกาสได้รับเงินปันผลทุกปีของกิจการนั้นๆอีกด้วย
ความแตกต่าง ระหว่าง หุ้น กับ Forex ต่างกันอย่างไร
จากข้อมูลด้านบน คุณได้เห็นแล้วว่า หุ้น กับ Forex นั้นต่างกัน เป็นคนละตัวกันเลยทีเดียว และเพื่อให้คุณเข้าใจ ความแตกต่าง ระหว่าง หุ้น กับ Forex ให้มากขึ้น ผมได้สรุปความแตกต่างมาให้คุณแล้ว ดังนี้
Volume การซื้อขาย
สำหรับ Volume การซื้อขายใน Forex นั้นมีปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัน นั้นเพราะว่าคนเทรด Forex กันทั่วโลก โดยเฉพาะคู่เงิน EURUSD, USDJPY, AUDUSD , GBPUSD และ ทอง
ในขณะที่ Volume การซื้อขายของหุ้นในต่างประเทศเช่น อเมริกา จะอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัน ยิ่งถ้าในไทย ก็จะยิ่งมีปรมาณที่น้อยลงไปอีก
สภาพคล่อง
สำหรับสภาพคล่องนั้น เมื่อมองจากVolume การซื้อขายต่อวันแล้ว คงไม่ต้องบอกเลยว่า สภาพคล่องใน Forex นั้นมีสูงกว่าในตลาดหุ้นอย่างมาก
ระยะเวลาในการเทรด
ระยะเวลาในการเทรดใน Forex นั้นแทบจะเกือบ 24 ชม.เลยทีเดียว มีเวลาปิดของ Broke ที่ให้บริการแค่ 1 ชม.ต่อวันและในวันหยุดเสาร์อาทิตย์เท่านั้น
แต่สำหรับหุ้นแล้วมีเวลาเปิดให้เทรดแค่ 4-8 ชั่วโมงในวันธรรมดาเท่านั้น
เทรดมานาน แต่พอร์ตไม่ไปไหน
เหมือนม้าหมุนวิ่งกลับมาที่เดิม ทำไงดี?
วิธีทำกำไร
สำหรับใน Forex นั้นคุณสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น และ ขาลง หรือแม้กระทั่งคุณจะเล่นทั้งขึ้นและลงในเวลาเดียวกันก็สามารถทำได้
แต่สำหรับหุ้นแล้วคุณมีสิทธิ์เล่นแค่ขาขึ้นเท่านั้น ทำให้โอกาสในการทำกำไรของForex นั้นมีสูงมากกว่าหุ้นอย่างมาก
Leverage ที่ได้
สำหรับในตลาดหุ้นนั้น จะไม่มีคำว่า Leverage เข้ามา คุณจำเป็นที่จะต้องใช้เงินเต็มจำนวนในการเข้าซื้อหุ้น ตลาดหุ้นจึงเหมาะสำหรับคนที่มีเงินเท่านั้นถึงจะทำกำไรได้เยอะตามสัดส่วนที่ลงทุนไป
ในขณะที่ ในตลาด Forex นั้นมี Leverage เข้ามาช่วยสำหรับคนที่มีทุนน้อย แต่ต้องการกำไรมหาศาลจากในตลาดนี้ แต่แน่นอนว่าไม่ได้มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ
Leverage ก็เหมือนกับดาบ 2 คม ยิ่งใช้มาก กำไรก็จะมาก แต่ก็ตามมาด้วยความเสี่ยงที่จะขาดทุนหนักหรือล้างพอร์ตด้วยเช่นกัน
สไตล์การเทรดที่เหมาะกับแต่ละตลาด
เนื่องจากในตลาดหุ้นนั้นมีปริมาณการซื้อขายไม่มากเท่า Forex และมีระยะเวลาในการเทรดน้อย ทำให้ราคามักไม่ค่อยวิ่งแรงและเร็วเท่าไร ในตลาดหุ้นจึงเหมาะสำหรับนักเทรดสไตล์ถือยาวซะมากกว่า
กลับกันในตลาด Forex ที่มีปริมาณการซื้อขายมาก และมีระยะเวลาในการเทรดเยอะ ทำให้ราคามักวิ่งแรง และผันผวนมาก ทำให้ตลาด Forex เหมาะสำหรับนักเทรดสไตล์เก็งกำไรสั้นจนถึงกลาง
เทรด forex กับ หุ้น อันไหนดีกว่ากัน
เชื่อได้ว่าหลายคนจะมีคำถามในใจที่ว่า "เทรด forex กับ หุ้น อันไหนดีกว่ากัน" เพราะไม่รู้ว่าจะเลือกลงทุนตัวไหนดี อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่า อยากได้ตัวที่ทำกำไรได้มากกว่า , อยากได้ตัวที่ทำกำไรได้ง่ายกว่า , อยากได้ตัวที่เสี่ยงน้อยกว่า
แต่คำตอบมักจะไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะแต่ละตลาดก็มีข้อดีข้อเสีย และความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป คุณจึงควรพิจารณาด้วยตัวเองว่าจะเล่นตลาดไหน ภายใต้เงื่อนไข สไตล์การเทรด , ข้อดีข้อเสียและความเสี่ยงที่คุณรับได้ในตลาดนั้นๆ
เช่น หากตอนนี้คุณถนัดเล่นเทรดสั้น ก็ควรไปเล่น Forex แต่หากคุณชอบถือยาวๆก็ไปเล่นในตลาดหุ้นครับ
โดยผมจะจำแนกข้อดีในแต่ละตลาดให้ดูนะครับ
ข้อดีของตลาด Forex
- ตลาดเปิดซื้อขายกันเกือบ 24 ชม.ยกเว้นแค่วันหยุดเสาร์อาทิตย์
- สภาพคล่องสูงมาก
- เหมาะสำหรับเก็งกำไรระยะสั้นหรือกลาง
- การเคลื่อนไหวของราคาในตลาด ส่วนใหญ่มักมาจากนโยบายของประเทศในสกุลเงินนั้นๆ ไม่มีคนใดๆคนนึงคุมราคา
- ค่าธรรมเนียมจะแพงหรือถูกขึ้นอยู่กับ Broker ที่คุณใช้
- ใช้เงินทุนน้อยในการเข้าเล่นเพื่อให้ได้กำไรมหาศาลได้
- มี Bot ช่วยเทรดให้อัตโนมัติได้
- มี Broker ให้บริการมากมายในไทย เช่น Exness , XM
ข้อดีของตลาดหุ้น
- สภาพคล่องเป็นไปตามหุ้นที่เทรด
- เหมาะสำหรับเก็งกำไรระยะยาว
- การเคลื่อนไหวของราคาในตลาด ส่วนใหญ่มักมาจากข้อมูลของกิจการในบริษัทนั้นๆ
- ราคาตลาดเคลื่อนตัวไม่เร็ว ความผันผวนในตลาดน้อย
- Exchange ที่ให้บริการจะเป็น Exchange ที่ กลต รับรองเท่านั้น
มือใหม่เทรด Future
ควรเตรียมตัวยังไงบ้าง?
5 ขั้นตอนในการเตรียมพร้อมการเล่นหุ้น Forex
1. เลือกสไตล์การเทรดของตัวเอง
การเลือกสไตล์การเทรดและสไตล์การวิเคราะห์ของตัวเองเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทั้งนี้มีวิธีการวิเคราะห์หลักๆอยู่ 2 แบบ คือ
- สาย VI หรือ สายวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ,คู่เงิน หรือ ทอง ซึ่งสายนี้จะเน้นที่การซื้อสินทรัพย์นั้นๆในราคาที่ถูกกว่าราคาเฉลี่ย ณ ตอนนั้น แล้วเอาไปขายแพงทีหลัง มักจะเป็นสายถือยาว
- สายวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค หรือเรียกเท่ๆว่า Graph Technical Analysis นั้นเอง ซึ่งสายนี้จะไม่สนใจปัจจัยพื้นฐานใดๆเลย จะวิเคราะห์ด้วยกราฟล้วนๆ ซึ่งสามารถที่จะเล่นได้ทั้งระยะสั้น กลาง ยาว
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงไม่เลือกเล่นทั้ง 2 สายเลยละ ซึ่งสามารถทำได้ครับ แต่แน่นอนว่าระยะเวลาในการศึกษานั้นก็จะยาวตามไปด้วย
ทั้งนี้สำหรับสายทำงานประจำ หรือ ทำธุรกิจ ที่ไม่ค่อยมีเวลาเฝ้าจอ ก็จะเน้นไปเล่นที่สาย VI นั้นเพราะว่าเป็นสายถือยาว ไม่จำเป็นต้องดูกราฟบ่อยๆ
แต่สำหรับสายที่มีเวลา เป็น Full-time Trader ก็มักจะเลือกเล่นสายกราฟทางเทคนิค เพราะสามารถเล่นสั้นหรือกลางก็ได้ เพื่อจะได้ไม่เสียเวลารอจังหวะที่จะเข้าตอนเล่นระยะยาว
2. เลือก Broker ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
สิ่งสำคัญในการเล่นทั้งหุ้น และ Forex นั้น คือ การที่เลือก Broker ที่ดีถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ซึ่งคุณสมบัติที่ดีของ Broker คือ
- ไม่โกง มีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้คุณเก็บเงินทุนได้อย่างอุ่นใจ
- มี Support ดูแลตลอด 24 ชม.
- มีค่า Spread หรือค่า Commission ที่ถูก
3. จัดสรรงบเพื่อบริหาร Money Management
การจัดสรรงบเพื่อบริหาร Money Management เวลา Trade หรือเรียกว่า MM ถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะหากคุณไม่มีการจัดการ Money Management ดีๆนั้น ก็อาจทำให้คุณเสียเงินทุนทั้งหมด หรือล้างพอร์ตก็เป็นได้
กลับกันหากคุณคำนวน Money Management ดีๆ คุณสามารถลดความเสี่ยงจากการขาดทุนได้
เช่น สมมุติว่าคุณเทรดทอง ด้วยเงินทุน $1000 ด้วยการเปิด Order จำนวน 10 lot ที่ทองมูลค่า 1800 ซึ่งหมายความว่าหากราคาทองลงไป 1 จุด หรือ 1799 พอร์ตของคุณจะติดลบที่ $1000 ซึ่งเป็นเงินทุนทั้งหมดของคุณ นั้นหมายความว่าคุณโดนล้างพอร์ตเรียบร้อยแล้ว
กลับกันหากคุณคำนวน Money Management ดีๆ ยอมที่จะให้ราคาทองลงไปได้ 5 จุด โดยให้พอร์ตของคุณติดลบได้แค่ที่ 5% แทนที่จะลงไปเลย 100 lot คุณคำนวน MM จากเงื่อนไขข้างต้น คุณจะได้ว่าคุณต้องเปิด Order จำนวนแค่ 0.1 lot
ทำให้ถึงคุณแพ้ในการเล่นรอบนี้ คุณก็เสียเงินทุนไปที่ 5% ตามที่คิดโดยที่คุณไม่ต้องโดนล้างพอร์ต
ยังเทรดแพ้ มากกว่าชนะ
อยู่ใช่ไหม?
4. ใช้พอร์ต Demo ให้ชิน เล่นพอร์ตจริงจะไม่มีปัญหา
ปัญหาอย่างแรกเลยสำหรับมือใหม่ คือ การที่อยากจะเข้ามาทำกำไรในตลาดหุ้น หรือ Forex เลย โดยที่ยังไม่รู้เครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ในการ Trade ซักอย่าง หรือแม้แต่การคำนวน Lot คำนวนความเสี่ยงในแต่ละครั้งที่เข้าเล่น
หรือบางครั้งถึงขั้นกดผิด เข้า Over trade โดยไม่รู้ตัวจากการไม่ชินในเครื่องมือ Trade ที่ใช้ จนทำให้ขาดทุนหนักในครั้งแรกก็เป็นได้
ซึ่งจากปัญหาเหล่านี้ ทาง Broker และ Exchange ต่างๆจึงสร้างเครื่องมือ ที่เรียกว่า พอร์ต Demo มาให้ผู้ใช้เทรดทดลองกัน
ซึ่ง พอร์ต Demo จะเป็นเงินปลอมที่คุณตั้งเท่าไรก็ได้ แต่เวลา Trade คุณจะใช้เครื่องมือ Trade ได้เหมือนตอน Trade จริงเลย
จึงทำให้หลังจากใช้พอร์ต Demo จนคล่องแล้ว พอนักเทรดมือใหม่ไปเล่นพอร์ตจริงก็จะไม่มีปัญหาเรื่องคำสั่งเทรดพื้นฐานเลย
5. ศึกษาหาความรู้ใน หุ้น และ Forex ให้มากๆ
การศึกษาหาความรู้ก่อนการเทรดนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งสิ่งที่จะศึกษานั้นก็จะมาจากการที่คุณเลือกว่าจะเล่นจะวิเคราะห์สินทรัพย์ด้วยวิธีไหนในข้อ 1. ไม่ว่าจะเป็นสาย VI หรือ สาย Graph Technical Analysis
แต่สิ่งที่แปลกอย่างนึงในวงการนี้เลย คือ นักเทรดมือใหม่ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยศึกษาหาความรู้ก่อน แล้วไปเทรดเลย ซึ่งผลลัพธ์จะมีอยู่ 2 ทาง คือ
- เทรดครั้งแรกได้ ใจป้ำคิดว่าตลาดนี้ง่ายเลย Overtrade สุดท้ายเจ๊ง ล้างพอร์ต
- เทรดครั้งแรกพลาด ขาดทุนหนัก หรือ ล้างพอร์ต
ซึ่งไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง หากไม่เดินออกจากตลาดเสียก่อน ก็จะหันกลับมาศึกษาหาความรู้ในหุ้น และ Forex อยู่ดี
ถ้าสุดท้ายแล้วยังไงก็จะต้องศึกษาหาความรู้ แล้วทำไมไม่หาความรู้ก่อนที่จะไปเทรดเลยละครับ ^^
6. สร้าง Mindset ที่ดีในการเทรด
การสร้าง Mindset การเทรดที่ดี ที่ถูกต้องนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเทรดให้ประสบความสำเร็จ และอยู่รอดในตลาดหุ้น และ Forex
แต่นักเทรดมือใหม่ส่วนใหญ่มักไม่เห็นความสำคัญของการสร้าง Mindset การเทรดที่ดี กลับไปเน้นที่เทคนิควิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน หรือ Graph Technical เสียมากกว่า
ผมจะบอกอย่างนี้ครับว่า จริงอยู่ที่เทคนิคเป็นเรื่องสำคัญ แต่ Mindset นั้นสำคัญกว่าเป็น 100 เท่า
ทำไมเหรอ?
คุณไม่สงสัยเหรอครับว่า คนส่วนใหญ่เก่งเรื่องเทคนิคกันหมด แต่ทำไมถึงยังมีคนขาดทุนอยู่ ทำไมทุกคนไม่กำไรกันหมดละครับ
นั้นเพราะว่าคนส่วนน้อยที่เทรดได้ มักจะเป็นคนที่มี Mindset การเทรดที่ดี มีวินัย
กลับกันคนส่วนมากที่เทรดเสียเรื่อยๆมักจะมี Mindset ที่แย่ เทรดตามอารมณ์
เพราะฉะนั้นอยากให้คุณจำไว้เลยครับว่า "คนที่ขาดทุนจะเป็นคนที่มี Mindset แย่ กลับกันหากคุณอยากได้กำไร คุณต้องมี Mindset การเทรดที่ดีเสียก่อน"
แหล่งที่มา : krungsri